Facial Paralysis และ Bell’s Palsy ต่างกันอย่างไร: เข้าใจความแตกต่าง
โรคหน้าเบี้ยวหรือ Facial Paralysis และ Bell’s Palsy ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าทำงานไม่ดี. สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาแตกต่างกัน. บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองโรคนี้.
สรุปประเด็นสำคัญ
- Facial Paralysis และ Bell’s Palsy เป็นสภาวะที่ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต
- ทั้งสองโรคมีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกัน
- การวินิจฉัยและการรักษาจึงแตกต่างกันด้วย
- ความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างโรคหน้าเบี้ยวและ Bell’s Palsy จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสม
- การรักษาที่ถูกต้องตามสาเหตุของโรคสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
Facial Palsy Bell’s Palsy ต่างกัน
Facial Paralysis คือภาวะที่กล้ามเนื้อใบหน้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ อาจเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน สาเหตุหลักมาจากการบาดเจ็บของเส้นประสาทใบหน้า การติดเชื้อ เนื้องอก หรือโรคอื่นๆ ผู้ป่วย Facial Paralysis จะมีอาการไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อบางส่วนหรือทั้งหมดของใบหน้าฝั่งที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจส่งผลให้ใบหน้าไม่สมมาตร รวมถึงมีปัญหาในการกลืน พูด หรือเคี้ยวอาหาร
Bell’s Palsy เป็นรูปแบบหนึ่งของ Facial Paralysis ที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทใบหน้า ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นไวรัส Herpes simplex virus ขึ้นมาใหม่ ทำให้เส้นประสาทใบหน้าบวมและไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมองและกล้ามเนื้อใบหน้าได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้เกิดอาการอัมพาตของใบหน้า
อาการของ Bell’s Palsy มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอาจเริ่มมีอาการและเกิดภาวะอัมพาตภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ ผู้ป่วย Bell’s Palsy ส่วนใหญ่มีโอกาสฟื้นตัวได้ดี โดยประมาณ 90% ของผู้ป่วยสามารถหายขาดได้
การวินิจฉัยโรค
เมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Facial Paralysis สาเหตุของอาการอัมพาตสามารถระบุได้ อาการ Facial Paralysis อาจเชื่อมโยงกับเนื้องอก การติดเชื้อ หรือความเสียหายของเส้นประสาท
ในกรณีของ Bell’s Palsy อาการจะปรากฏขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งอาจสร้างความลำบากให้กับผู้ป่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางการรักษาเพื่อบรรเทาอาการของ Bell’s Palsy
Facial Paralysis มักจะมีความถาวรมากกว่า Bell’s Palsy อาการของ Facial Paralysis จะไม่หายไปเองและอาจแย่ลงเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจต้องทนทุกข์กับอาการไปตลอดชีวิต
ในขณะที่ผู้ป่วย Bell’s Palsy อาจกลับมามีการทำงานของใบหน้าได้ตามปกติในเวลาใดก็ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยส่วนใหญ่แล้ว อาการของ Bell’s Palsy จะหายไปเองโดยไม่มีความเสียหายถาวร อย่างไรก็ตาม หากอาการยังคงอยู่นานเกินสามเดือน ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษา
มีการทดสอบหลายอย่างเพื่อระบุว่าผู้ป่วยมีอาการ Facial Paralysis หรือ Bell’s Palsy ซึ่งรวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การประเมินระบบประสาท และการตรวจหู คอ จมูก (ENT)
การทดสอบการหลั่งน้ำตา การสแกนด้วย CT และ MRI อาจถูกใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการของ Facial Paralysis หรือ Bell’s Palsy การทดสอบเหล่านี้สามารถใช้ระบุสาเหตุที่แท้จริงของอาการ และอาจมีการตรวจด้วย Electromyography (EMG) หรือ Electroneurography (ENoG) ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
นอกจากนี้ อาจต้องมีการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นประสาทใบหน้าหรือ ENT ระหว่างการตรวจเพื่อยืนยันว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ใช่จากสาเหตุอื่นๆ นอกจาก Bell’s Palsy
หลังการตรวจและวินิจฉัยแล้ว จะมีการพัฒนาแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ยาสเตียรอยด์ขนาดสูง (Prednisone) และยาต้านไวรัส (Famvir หรือ Valtrex) อาจถูกใช้เพื่อรักษาอาการของ Facial Paralysis หรือ Bell’s Palsy นอกจากนี้ อาจมีการแนะนำให้ฉีด Botox และฝึกฟื้นฟูกล้ามเนื้อเพื่อปรับปรุงความสมมาตรของใบหน้า ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจต้องรับการผ่าตัด Selective Neurolysis เพื่อแก้ไขการฟื้นตัวที่ผิดปกติของเส้นประสาทใบหน้า
การรักษาอาการ Facial Palsy
การการรักษาโรคหน้าเบี้ยวมุ่งเน้นไปที่การรักษาสาเหตุและฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย. แพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมตามสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ.
ระยะเริ่มต้นของอัมพาตใบหน้า ตั้งแต่เริ่มต้นถึงประมาณ 5 เดือน
ในระยะเริ่มต้นของอัมพาตใบหน้า สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบว่าผู้ป่วยดูแลดวงตาที่ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม เนื่องจากเส้นประสาทใบหน้ามีบทบาทในการผลิตสารหล่อลื่นสำหรับกระจกตา ผู้ป่วยมักมีอาการตาแห้งในช่วงสัปดาห์และเดือนแรกของการเป็นอัมพาตใบหน้า ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบของกระจกตาหรือแผลที่กระจกตา (corneal ulcer) ซึ่งอาจส่งผลต่อการมองเห็น การจัดการดวงตาอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อกระจกตาและการสูญเสียการมองเห็น
นักกายภาพบำบัดควรให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตาแห้ง หากยังไม่ได้รับการแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ หากตาของผู้ป่วยมีอาการแดงหรือลักษณะตาแดงบ่อยๆ ควรส่งผู้ป่วยไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน หรือแนะนำให้ไปยังแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านดวงตา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการตาแห้ง การเกิดแผลที่กระจกตา และการจัดการ เช่น การปิดตา/การใช้สารหล่อลื่นเทียม สามารถคลิกที่นี่
การรักษาทางกายภาพบำบัดอื่นๆ ได้แก่:
- การฝึกฟื้นฟูระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Neuromuscular retraining – NMR)
- การตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า (Electromyography – EMG) และการฝึกด้วยกระจก (mirror biofeedback)
- การกระตุ้นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Trophic electrical stimulation – TES)
- เทคนิคส่งเสริมประสาท-กล้ามเนื้อ (Proprioceptive neuro muscular facilitation – PNF)
- เทคนิค Kabat
- การบำบัด Mime therapy
การบำบัด Mime therapy รวมถึง:
- การนวดตัวเอง
- การฝึกการหายใจและผ่อนคลาย
- การฝึกการประสานงานของกล้ามเนื้อใบหน้าทั้งสองด้านเพื่อลดอาการกล้ามเนื้อทำงานผิดจังหวะ (synkinesis)
- การฝึกปิดตาและปาก
- การฝึกออกเสียงตัวอักษร คำ และการแสดงอารมณ์ทางใบหน้า
Bell’s palsy คืออะไร?
Bell’s palsy เป็นภาวะอัมพาตใบหน้าชั่วคราวที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานประจำวัน การสื่อสารกับผู้อื่น ความภาคภูมิใจในตนเอง และคุณภาพชีวิต ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งเกิดการอักเสบ อาการมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดความอ่อนแรงของใบหน้าในระดับต่างๆ แต่ส่วนใหญ่มักจะฟื้นตัวได้เองตามธรรมชาติ
แม้ว่าสาเหตุของ Bell’s palsy ยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าบางกรณีอาจเกิดจากไวรัสเริม ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การตั้งครรภ์ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคเบาหวาน การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน และภาวะครรภ์เป็นพิษอย่างรุนแรง (ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์)
อาการอ่อนแรงหรืออัมพาตของใบหน้าอาจเกิดจากภาวะอื่นๆ เช่น การบาดเจ็บ ภาวะที่มีตั้งแต่กำเนิด การผ่าตัด หรือเนื้องอก
ลักษณะอาการ
Bell’s palsy มักเริ่มต้นด้วยความอ่อนแรงกะทันหันที่ใบหน้าด้านหนึ่ง หรือความรู้สึกว่าคุณไม่สามารถขยับใบหน้าด้านหนึ่งได้
Bell’s palsy อาจรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการอื่นๆ อาจรวมถึง:
- ไม่สามารถปิดตาที่ได้รับผลกระทบได้
- การหย่อนของใบหน้าด้านที่ได้รับผลกระทบ (ภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงข้ามคืน)
- น้ำตาหรือแห้งที่ตาด้านที่ได้รับผลกระทบ
- ปวดที่หูหรือหลังหูด้านที่ได้รับผลกระทบ
- ความไวต่อเสียง
- น้ำลายไหล
- สูญเสียความรู้สึกในการรับรส
- พูดยากเนื่องจากความอ่อนแรงรอบปาก
การวินิจฉัย Bell’s Palsy
การวินิจฉัย Bell’s palsy มักเกี่ยวข้องกับการสังเกตการเคลื่อนไหวของใบหน้า เช่น การกระพริบตา การยกคิ้ว การยิ้ม และการขมวดคิ้ว รวมถึงการเคลื่อนไหวอื่นๆ
แพทย์ที่ทำการตรวจอาจแนะนำให้ทำการสแกนด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) สำหรับผู้ที่มีอาการอ่อนแรงหรืออัมพาตของใบหน้า เพื่อป้องกันการเกิดภาวะร้ายแรง เช่น เนื้องอกหรือโรคหลอดเลือดสมอง หลังจากการตรวจเพื่อยืนยันว่าไม่มีภาวะอื่นๆ แล้ว แพทย์มักจะวินิจฉัยว่าเป็น Bell’s palsy และแนะนำการรักษาผ่านนักกายภาพบำบัด
ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Bell’s palsy มักได้รับการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์เพื่อลดการบวมรอบเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจได้รับยาต้านไวรัสเพิ่มเติม แพทย์จะให้การส่งตัวไปยังนักกายภาพบำบัดเพื่อการรักษาต่อไป
การรักษาอาการ Bell’s Palsy
Bell’s palsy เป็นภาวะอัมพาตใบหน้าชั่วคราวที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานประจำวัน การสื่อสารกับผู้อื่น ความภาคภูมิใจในตนเอง และคุณภาพชีวิต ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งเกิดการอักเสบ Bell’s palsy มักเริ่มด้วยความรู้สึกอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตที่ใบหน้าด้านหนึ่งอย่างกะทันหัน
คำเตือน: อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หากคุณมีอาการอ่อนแรงที่ใบหน้า ควรรีบไปพบแพทย์ทันที! โทรเรียกรถพยาบาลหากมีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย:
- ปวดหู แก้ม หรือฟัน
- สูญเสียความรู้สึกที่ใบหน้า
- สับสน
- อ่อนแรงที่แขนหรือขา
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง
- มีไข้
- ปวดศีรษะ
นักกายภาพบำบัดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนไหวที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตผ่านการดูแลอย่างมืออาชีพ การให้ความรู้แก่ผู้ป่วย และการออกกำลังกายตามคำแนะนำ คุณสามารถติดต่อขอรับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดได้โดยตรง