How To เช็กตัวเองว่ามีอาการออฟฟิศซินโดรม ระดับไหนแล้ว?
ปวดหลัง ปวดตึงคอ บ่า ไหล่ ที่เราพูดกันอยู่ทุกวันนั้น ศัพท์เทคนิคทางการแพทย์จะเรียกอาการเหล่านี้ว่าออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นอาการที่ทุกคน ทุกวัย สามารถเป็นได้ ส่วนสาเหตุหลักๆ ของอาการ ทุกคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้วโดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ (หรือมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ 😂) นั้นก็คือการนั่งทำงานนานๆ หรือจากสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
วันนี้เราเลยมีวิธีการสังเกตุอาการว่าเรามีปัญหาอาการอยู่ในระดับไหนแล้ว เพื่อที่จะได้ทำการประเมินและรักษาอาการปวดได้ทัน จะได้ไม่เสียเวลาและเสียค่ารักษาเยอะจนเกินไป
อาการปวดหลัง (Back Pain)
อาการยอดฮิตอันดับหนึ่งที่หลายคนเป็นอยู่ ไม่ว่าจะวัยไหนๆ ก็มีโอกาศปวดหลังทั้งนั้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรม ส่วนสาเหตุจะมาจากการนั่งทำงานนานๆ นั่งผิดท่า นั่งหลังงอ หรือแม้กระทั้งการเล่นกีฬาก็สามารถมีอาการปวดหลังได้เช่นเดียวกัน
ระดับที่ 1 ช่วงแรกๆ อาการปวดจะเป็นๆ หายๆ หรือปวดบ้างเป็นบางครั้ง สามารถหายได้เอง อาการปวดระดับนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ระดับที่ 2 อาการปวดจะเริ่มเป็นบ่อยขึ้น และมีอาการปวดอย่างต่อเนื่องไม่หายสักที ทำให้เริ่มมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ
ระดับที่ 3 เป็นระยะการปวดที่เรียกว่า “ปวดเรื้อรัง” อาจจะต้องมีการทานยาแก้ปวดหรือการผ่าตัดอาการจึงจะดีขึ้น
อาการปวดคอบ่าไหล่ (Neck Pain, Shoulder Pain)
อาการตามตัวเลยคือเกิดจากการนั่งทำงานนานๆ จนมีอาการปวดตึงบริเวณคอ บ่า ไหล่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรม ทำให้รู้สึกหงุดหงิดเวลาทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หรือบางคนมีอาการปวดแล้วลามไปที่จุดอื่นเลยก็มี
ระดับที่ 1 ช่วงแรกอาการปวดจะไม่มาก สามารถหายเองได้จากการนวดเบาๆ หรือนวดกดจุดตามบริเวณต่างๆ
ระดับที่ 2 อาการปวดจะเริ่มเป็นบ่อยขึ้น และมีอาการตึงร่วมด้วย อาการปวดจะเป็นๆ หายๆ ทำให้รู้สึกหงุดหงิด
ระดับที่ 3 เป็นระยะการปวดแบบเรื้อรัง บางคนอาจจะมีอาการปวดลามขึ้นไปที่หัว ทำให้มีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย
อาการปวดตา ตาพร่ามัว (Eye pain)
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาการยอดฮิตของคนยุคนี้ที่จะต้องนั่งทำงานหน้าคอมนานๆ หรือแม้กระทั่งการจ้องจอมือถือก็ทำให้มีอาการปวดตา ตาแห้งและมีอาการแสบตาได้ หรือบางคนหนักหน่อยอาจจะมีอาการตาแดง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรม
ระดับที่ 1 ช่วงแรกอาการอาจจะไม่กระทบการทำงานมาก เพียงแค่พักสายตา 3 – 5 นาที อาการปวดตาก็จะหายไปเอง
ระดับที่ 2 อาการจะเริ่มรุนแรงขึ้นและมีอาการแทรกหลายอย่าง เช่น ตาแห้ง ตาล้า หรือมีอาการตาแดง
ระดับที่ 3 ระยะนี้น่าเป็นห่วงเนื่องจากจะมีอาการปวดตา จนถึงขั้นเบลอและมองเห็นเป็นจุดๆ และเป็นเส้น (เหมือนตอนเรามองหลอดไฟนานๆ แล้วหลับตา)
อาการปวดหัวไมเกรน (migraine headache)
อาการปวดนี้เกิดจากการทำงานต้องมีการคิดและใช้งานสมองอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการปวดหัวขึ้นมาได้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรม
ระดับที่ 1 อาการระยะแรกจะมีแค่อาการปวดหัวและจะหายไปเอง หากได้มีการพักการใช้งานสมอง
ระดับที่ 2 อาการปวดหัวจะมีบ่อยมากขึ้น และมีไมเกรนร่วมด้วย ทำให้มีอาการปวดตุ๊บๆ ที่หัว
ระดับที่ 3 อาการปวดเริ่มลามไปทั่วหัว บางคนอาจจะต้องทานยาเพื่อให้หายปวด แบบนี้จะยิ่งอันตรายและส่งผลเสียในระยะยาว
อาการปวดข้อมือ มือชา (Wrist pain, numb hands)
เกิดจากมีการใช้มือหรือข้อมือในการทำงานเยอะและหนักจนเกินไป เช่น จับเม้าท์นาน พิมพ์แชทเป็นเวลานานๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรม
ระดับที่ 1 อาการระยะแรกจะแค่ปวดตรงบริเวณข้อ แค่นวดนิดหน่อยอาการปวดก็จะหายเองได้
ระดับที่ 2 อาการปวดจะรุนแรงขึ้นและมีอาการชาร่วมด้วย อาจจะมีอาการเจ็บจี๊ดตรงบริเวณข้อมือ
ระดับที่ 3 มีทั้งอาการปวด อาการชา และเจ็บจี๊ดมากขึ้น บางคนอาจจะได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังก๊อกตามมาด้วย
อาการปวดตึงที่ขา เหน็บชา (Leg pain)
อาการนี้หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่ามาจากการเดินบ่อยหรือเปล่า จะบอกเลยว่าก็มีส่วน แต่! การนั่งทำงานนานๆ หรือแม้กระทั้งการนั่งไขว้ห้าง ก็ทำให้มีอาการปวดขาได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรม เพราะเลือดไม่สามารถไหลลงไปเลี้ยงที่บริเวณขาได้นั้นเอง
ระดับที่ 1 จะมีแค่อาการปวดนิด เพียงลุกขึ้นมาเดิน อาการก็จะกลับมาเป็นปกติ
ระดับที่ 2 ระยะนี้จะมีอาการแทรกซ้อน เช่นมีอาการชาที่เท้าด้วย ทำให้เดินหรือลุกขึ้นลำบาก
ระดับที่ 3 มีอาการปวดและชาไปทั่วบริเวณช่วงล่าง บางคนอาจจะมีอาการเหมือนเข็มหลายๆ อันทิ่มบริเวณผ่าเท้า
และหากใครที่กำลังคิดว่าอาการปวดหลัง คอ บ่า ไหล่ (ออฟฟิศซินโดรม) ของตัวเองเริ่มมีอาการอยู่ในระดับที่ 2 แล้ว และอาการปวดเหล่านี้เริ่มส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ทางคลินิกของเรากรีนเบลล์ก็มีเครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย ครอบคลุมทุกอาการปวดตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมืออย่าง Shockwave Therapy ที่จะช่วยรักษาอาการปวดได้หลายจุด (หากอยากรู้ว่าเครื่องมือนี้รักษาอาการอะไรได้บ้าง สามารถคลิกที่หัวข้อเพื่ออ่านต่อได้) หรือจะเป็นเครื่อง PMS Therapy ที่เป็นเครื่องมือสมัยใหม่ที่จะช่วยให้อาการปวดของคุณดีขึ้นมาก และมีเครื่องมือสมัยใหม่อื่นๆ อีกมากมาย พร้อมทั้งนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญ ที่จะคอยรักษาและให้คำแนะนำต่างๆ อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้อาการของคุณดีขึ้นและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอย่างมีประสิทธิภาพ