การรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำ
หลายๆท่านอาจสงสัยว่า การกระตุ้นไฟฟ้าจะทำให้อาการต่างๆ ดีขึ้นจริงหรือไม่ การรักษาโดยการกระตุ้นไฟฟ้าจะใช้แรงกระตุ้นทางไฟฟ้าไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันอย่างมากทั้งในคลินิกและโรงพยาบาล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เหมาะกับการกายภาพบำบัด เพื่อกระตุ้นการตอบสนองทางร่างกายที่เฉพาะเจาะจง เช่น การหดตัวของกล้ามหรือกระตุ้นเส้นประสาท ซึ่งสามารถบรรเทาอาการปวด หรือปวดเรื้อรัง กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยสมานแผล เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลกการกระตุกของกล้ามเนื้อ
ที่กรีนเบลล์คลินิกกายภาพบำบัด เราใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าความถี่ต่ำ 8 ช่องสัญญาณ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าทั้งช่วงระยางค์กล้ามเนื้อ สามารถเห็นผลได้ชัดเจน เพราะเราเข้าใจดีว่า การทำงานของกล้ามเนื้อไม่ได้ทำงานแค่มัดใดมันหนึ่ง แต่เป็นการทำงานร่วมกันทุกมัด การกระตุ้นไฟฟ้าในช่วงกล้ามเนื้อมัดที่เกี่ยวเนื้องกัน สามารถให้ผลการรักษาที่ดีเยี่ยม
การรักษาด้วยกระแสไฟฟ้านี้ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ที่เราใช้กับคนไข้ในทุกเคส โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
การบำบัดด้วยการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า Electrical Stimulation สามารถรักษาอาการใดได้บ้าง
- กล้ามเนื้อลีบและฝ่อ
- อาการบากเจ็บบริเวรเส้นประสาท
- โรคกดทักเส้นประสาทบริเวรข้อมือ
- ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ปวดเส้นเอ็นหรือเนื้อเยื่ออ่อนทั่วร่างกาย
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงหลังผ่าตัด
- ภาวะปวดหลอน คือ มีความรู้สึกชาบริเวรแขนหรือขา ที่ถูกตักขาดไปแล้ว
- ปวดท้องน้อยเรื้อรังในสตรี
- กล้ามเนื้อเกร็งจากอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
- ไมเกรนและปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็ง
ประเภทไอออน | ชนิด | บทบาทในร่างกาย |
---|---|---|
ไอออนบวก | โซเดียม, โปแตสเซียม, แคลเซียม, แมกนีเซียม | เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า ช่วยการทำงานของเซลล์และระบบประสาท |
ไอออนลบ | คลอรีน, คาร์บอเนต, โปรตีน | เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า ช่วยควบคุมกระบวนการเมแทบอลิซึมในร่างกาย |
Electrotherapy รักษาอะไรได้บ้าง
1. การบรรเทาอาการปวด (Pain Relief)
- TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation): ใช้กระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำเพื่อบรรเทาอาการปวดเรื้อรังและปวดเฉียบพลัน เช่น ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดศีรษะ
- IFC (Interferential Current): ใช้กระแสไฟฟ้าสองชุดที่มีความถี่ต่างกันเพื่อบรรเทาอาการปวดในกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่างๆ
2. การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ (Muscle Rehabilitation)
- EMS (Electrical Muscle Stimulation): ใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูสมรรถภาพกล้ามเนื้อหลังการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด
- Russian Current: ใช้กระแสไฟฟ้าความถี่สูงเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
3. การลดการอักเสบและบวม (Reduction of Inflammation and Swelling)
- Microcurrent Therapy: ใช้กระแสไฟฟ้าระดับต่ำมากเพื่อกระตุ้นการผลิต ATP และการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ลดการอักเสบและบวมในเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
4. การฟื้นฟูเนื้อเยื่อและแผล (Tissue and Wound Healing)
- HVPC (High-Voltage Pulsed Current): ใช้กระแสไฟฟ้าสูงเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและเร่งการรักษาบาดแผล เช่น แผลเรื้อรัง แผลเบาหวาน แผลกดทับ
- Microcurrent Therapy: นอกจากลดการอักเสบแล้ว ยังช่วยในการรักษาบาดแผลและฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
5. การกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด (Improvement of Blood Circulation)
- EMS และ TENS: การกระตุ้นกล้ามเนื้อและประสาทด้วยกระแสไฟฟ้าสามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่ทำการรักษา ช่วยนำสารอาหารและออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อที่ต้องการการฟื้นฟู
6. การลดความเครียดและการผ่อนคลาย (Stress Reduction and Relaxation)
- TENS: ใช้กระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำเพื่อช่วยลดความเครียดและความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายขึ้น
7. การฟื้นฟูสมรรถภาพหลังผ่าตัด (Post-Surgical Rehabilitation)
- EMS และ Russian Current: ใช้เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงหลังการผ่าตัด ช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ข้อควรระวังในการใช้ Electrotherapy
- ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกายควรหลีกเลี่ยงการใช้ Electrotherapy
- การตั้งครรภ์: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ Electrotherapy ในบริเวณท้องหรือใกล้กับทารกในครรภ์
- การมีบาดแผลเปิดหรือผิวหนังที่ระคายเคือง: หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นอิเล็กโทรดในบริเวณที่มีบาดแผลเปิดหรือผิวหนังที่ระคายเคือง
- ผู้ที่มีภาวะชักหรือโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการรักษา